วันจันทร์ที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2556

"หญิงไทยในยุคเปลี่ยนผ่านสู่ปัจจุบัน" โดย รพีพรรณ เกาะจู





              

บทความ

งาน สัมมนา เรื่อง"หญิงไทยในยุคเปลี่ยนผ่านสู่ปัจจุบัน"



โดย นางสาวรพีพรรณ  เกาะจู



                                                         พิพิธภัณฑ์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว

        เนื่องด้วยในเดือนสิงหาคมนี้เป็นวาระครบ ๙๕ ปีแห่งวันอภิเษกสมรสของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้ารำไพรรณี พระบรมราชินี และอีกทั้งในเดือนสิงหาคม ยังจัดเป็นเดือนวันสตรีไทยและแม่แห่งชาติอีกด้วย จึงทำให้ทางพิพิธภัณฑ์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้เห็นควรที่จะจัดโครงการสัมมนาเรื่อง "หญิงไทยในยุคเปลี่ยนผ่านสู่ปัจจุบัน"
            เพศแม่เป็นสัญลักษณ์แห่งการให้กาเนิดและความอุดมสมบูรณ์มาตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์ ในยุคคลาสสิกได้รับการยกย่องเป็นเทพีแห่งสงคราม เทพีแห่งการเยียวยา เทพีแห่งการล่าสัตว์ แม้แต่ในสังคมอินเดีย เทพีหลายองค์ทรงเป็นศักติ หรือ พลังของเทพเจ้าสาคัญจานวนไม่น้อยตามความเชื่อหลายลัทธิ
          ผู้หญิงได้รับการปฏิบัติแตกต่างกันออกไปทั้งในโลกตะวันตกและโลกตะวันออก ตามความเชื่อทางศาสนาและค่านิยมในสังคม แต่หลังจากผ่านร้อนผ่านหนาวมาจนถึงวัยอาวุโสสูงสุด สตรีเพศทั้งในสังคมจีนและอินเดีย อาจมีสถานภาพเป็นผู้ชี้ทางอนาคตของครอบครัวบนสถานภาพของการเป็น “ผู้รู้และผู้สืบทอดภูมิปัญญา” ทั้งในเรื่องความเป็นอยู่และพิธีกรรมของครอบครัว โดยมีศาสนาและความเชื่อเป็นสายธารเชื่อมโยงทางวัฒนธรรม




ในสังคมไทย เมื่อประมาณ ๒๐๐ ปีเศษที่ผ่านมา พฤติกรรมของผู้หญิงตัวเล็กๆ หลายคน อาจส่งผลกระทบไปถึงการปรับเปลี่ยนโครงสร้างของกระบวนการยุติธรรมโดยรวมอย่างคาดไม่ถึง อาทิ ในกรณีของอาแดงป้อมผู้เป็นสาเหตุให้ร้อนถึงพระเนตรพระกรรณพระบาทสมเด็จพระพุทธ ยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชจนถึงกับต้องชาระพระราชบัญญัติ อันเป็นต้นเค้าของกฎหมายตราสามดวงในสมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์ ฎีกาที่ “ขัดฝืน” ผู้หญิงที่น่าสงสารอย่าง “อาแดงเหมือน” ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ถึงกับส่งผลให้ประเพณีการคลุมถุงชนในสังคมไทยเสื่อมคลายภายใต้พระราชวินิจฉัยที่ว่า “การแต่งงานของชายหญิงต้องเกิดจากความสมัครใจ” อีกทั้งยังส่งผลให้มีการประกาศพระราชบัญญัติลักพาพ.ศ.2408 และพระราชบัญญัติผัวขายเมียพ.ศ. ๒๔๑๐ อันเป็นการปูพื้นฐานของเรื่องสิทธิมนุษยชนและการเลิกทาสในรัชสมัยต่อมา ทาให้คากล่าวที่ว่า “ผู้หญิงเป็นควาย ผู้ชายเป็นคน” ในอดีตเลือนหายไปจากความทรงจาของผู้คนในสังคม









ในยุคปลายสังคมจารีตสมบูรณาญาสิทธิราชย์ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเป็นแบบอย่างของการยกย่องสถานภาพของสตรี ตามค่านิยมของ “สังคมผัวเดียวเมียเดียว”แบบตะวันตก โดยทรงอภิเษกสมรสกับสมเด็จพระนางเจ้าราไพพรรณี พระบรมราชินีแต่เพียงพระองค์เดียว พระราชจริยาวัตรนี้ส่งผลระดับหนึ่งต่อสถาบันครอบครัวในเวลาต่อมา แต่เป็นน่าแปลกใจที่สังคมไทยแม้จะให้ความสาคัญต่อคาสาบาน ดังพันธะที่มีต่อพระราชพิธีศรีสัจปานกาลมาแต่ครั้งอดีต กลับไม่เคยแยแสต่อการสาบานว่าจะซื่อสัตย์ต่อคู่สมรสจนกว่าจะตายจากกัน ร่องรอยการให้ “เครดิต”แก่ผู้หญิงครั้งสาคัญที่สุดในยุคเปลี่ยนผ่านสู่สังคมประชาธิปไตยเมื่อพ.ศ.๒๔๗๕ ปรากฏในธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราวฉบับแรก กาหนดให้ผู้หญิงไทยได้รับสิทธิทางการเมืองเท่าเทียมกับผู้ชาย ขณะที่สตรีหลายชาติทั้งในโลกตะวันตกที่มีการพัฒนาทางเศรษฐกิจแล้ว กลับยังไม่ได้สิทธิดังกล่าว
ในขณะที่สังคมโลกตระหนักถึงสิทธิสตรี ทั้งรัฐไทยและสังคมไทยโดยรวม ทัศนะที่มีต่อผู้หญิงมีพัฒนาการอย่างไรบ้างตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ ๗ การเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ สังคม การเมือง นิติบัญญัติ และวัฒนธรรมส่งผลกระทบต่อบทบาทของผู้หญิงอย่างไร ปัจจัยเกื้อหนุนและบั่นทอนย้อนกลับต่อบทบาทของผู้หญิงอันเนื่องมาจากกฎหมายบางอย่างมีอะไรบ้าง ขอบเขตของการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับผู้หญิงเกิดจากตัวแปรอะไรบ้าง ล้วนเป็นคาถามที่สังคมต้องร่วมกันแสวงหาคาตอบหรือร่วมกันแก้ไขอย่างมิอาจหลีกเลี่ยงได้    การอ้างความรักความหึงหวงแล้วแปรเปลี่ยนมาเป็นการทาร้ายคนเพศแม่อย่างโหดร้าย การลดความสาคัญของสตรีหลังการแต่งงาน ทาให้ผู้หญิงขาดโอกาสทางเศรษฐกิจ ถึงกระนั้นก็ตาม สิทธิทางการเมืองและการศึกษาก็ทาให้สตรีจานวนไม่น้อยประสบความสาเร็จในวิชาชีพของตน




บทบาทของสตรีไทยในอดีต


 สตรีไทยมีบทบาทสำคัญมาตั้งแต่อดีต  ในทางการเมืองสตรีไทยในประวัติศาสตร์หลายคนได้มีบทบาทในการสร้างชาติไทย  เช่น  พระสุพรรณกัลยา  พระพี่นางของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช  ทรงเสียสละพระองค์เป็นองค์ประกันที่เมืองหงสาวดี  เพื่อแลกกับอิสรภาพของสมเด็จพระนเรศวรที่จะมากอบกู้เอกราชให้กับกรุงศรีอยุธยาในวันข้างหน้า


         ในสมัยรัตนโกสินทร์  สตรีไทยหลายคนได้มีบทบาทในการต่อสู้ทำสงครามเพื่อปกป้องบ้านเมือง  เช่น  คุณหญิงจัน  ภรรยาเจ้าเมืองถลาง (ภูเก็ต)  และนางมุกน้องสาว  ได้นำชาวบ้านเมืองถลางต่อสู้ต้านทานกองทัพพม่าเมื่อครั้งสงครามเก้าทัพในสมัยรัชกาลที่ 1  มีความดีความชอบจนได้รับการแต่งตั้งให้เป็นท้าวเทพกษัตรีและท้าวศรีสุนทรตามลำดับ

          ในสมัยรัชกาลที่ 3  คุณหญิงโม  ภรรยาของปลัดเมืองนครราชสีมา  ได้ใช้อุบายโดยให้หญิงชาวบ้านเลี้ยงสุราอาหารแก่ทหารลาว  ทำให้กองทัพของเจ้าอนุวงศ์แห่งเวียงจันทน์ตายใจและปล่อยปละละเลยความปลอดภัยของค่ายทัพ เมื่อได้โอกาสก็นำอาวุธเข้าต่อสู้กับทหารฝ่ายลาวจนบาดเจ็บล้มตายจำนวนมากและแตกทัพหนีไปทำให้ฝ่ายไทยสามารถเอาชนะได้  ต่อมาคุณหญิงโมได้รับการแต่งตั้งให้เป็นท้าวสุรนารี

                                                                            



 เพื่อนๆที่เข้าร่วม
ฟังการเสวนา








                                                ม. ศิลปกร มีการบันเลงเพลงในรัชกาลที่ 7

ซึ่งโครงการสัมมนานี้ได้มีการเชื่อมโยงเกี่ยวกับเนื้อหานิทรรศการถาวรของพิพิธภัณฑ์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว เพื่อเป็นการเผยแพร่พระราชประวัติและพระราชกรณีกิจสำคัญ
ในพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว





อ้างอิง






ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น